ผู้บรรเลงบทเพลงแห่งความเงียบ
หากลองคิดดูว่าคนคนหนึ่งที่เกิดมาหูหนวกจนทำให้เขาไม่กล้าพูดและเป็นใบ้ในเวลาต่อมา จะสามารถก้าวขึ้นเป็นนักเปียโนระดับโลกได้อย่างไรกัน
ผู้เข้าชมรวม
382
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผู้บรรเลงบทเพลงแห่งความเงียบ
หากลองคิดดูว่าคนคนหนึ่งที่เกิดมาหูหนวกจนทำให้เขาไม่กล้าพูดและเป็นใบ้ในเวลาต่อมา จะสามารถก้าวขึ้นเป็นนักเปียโนระดับโลกได้อย่างไรกัน…
ย้อนกลับไปในห้องคลอดแห่งหนึ่งของโรงพยาบาลเล็กๆ ทั่วไป เด็กน้อยคนหนึ่งได้ถือกำเนิดมาพร้อมพรสวรรค์ติดตัวที่มีนามว่าหูหนวก ชื่อของเขาคือเด็กชายบี
ทางบิดาและมารดาของเด็กชายบีเป็นเพียงสามัญชนกินเงินเดือนไม่ได้มั่งมีมากมาย การเป็นอยู่ในวัยเยาว์ของเด็กชายบีไม่ได้แตกต่างจากเด็กปกติเท่าไรนักในแง่ความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ แต่สิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับเขานั่นคือการเข้าสังคมต่างหาก
ตั้งแต่สมัยเรียนชั้นอนุบาล ครูประจำชั้นของเด็กชายบีได้รับรู้ว่าเขาหูหนวกและเธอก็ไม่สามารถพูดภาษามือได้ ดังนั้นแล้วจึงให้สิทธิพิเศษแก่เด็กชายบี เขาได้นั่งเล่นอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยของเล่นเพียงผู้เดียว ขณะที่เด็กคนอื่นๆ ออกไปวิ่งเล่นในสนามอย่างสนุกสนาน
หลังจากเวลาผ่านไป 3 ปี ด้วยความไม่ประสีประสา เด็กชายบีก้าวขึ้นสู่การศึกษาระดับประถมต้น เขาเริ่มสงสัยว่าทำไมผู้อื่นขยับปากสื่อสารกัน ยิ้มหัวเราะร่าเริงท่าทางมีความสุข มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ไม่สามารถรับรู้สารเหล่านั้น ‘อยากคุยกับคนอื่นจัง’ นั่นคือสิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในสมองเวลานั้น เมื่อคิดได้แล้วก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าหากลุ่มเด็กที่กำลังพูดคุยกันอยู่ มือเล็กๆ ทั้งสองข้างเริ่มขยับไปมาด้วยสีหน้าสดใส เด็กชายบีพยายามสื่อสารกับผู้อื่นด้วยภาษามือที่ได้เรียนรู้มา แต่ทว่าผลตอบรับกลับไม่เป็นเหมือนที่คิด เด็กเหล่านั้นพากันหัวเราะเยาะก่อนจะเดินจากไป มีบางคนหันหลังกลับมามองด้วยสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกสมเพศ
เด็กชายบีได้เริ่มเรียนรู้แล้วว่าเขาเป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ขาของเขาขาดหรือสมองหยุดทำงานไปแต่อย่างใด เด็กชายบียังคงดำเนินชีวิตต่อไปและไม่คิดจะโทษผู้อื่น เพราะหากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเองที่เกิดมาผิดปกติ
การเรียนที่ผ่านพ้นมาได้เกิดจากการอ่านตัวหนังสือที่ขีดเขียนบนกระดานดำสมัยเก่า จนกระทั่งขึ้นมาถึงชั้น ม.6 ด้วยเกรดที่ไม่ได้ดีเลิศ แน่นอนว่าเขาไม่มีเพื่อนเลยแม้ซักคนเดียว ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงพื้นดินเริ่มเจือจางลงทุกที ตัวตนของชายหูหนวกค่อยๆ ถูกลบเลือนจากโลกกว้างจนเกือบคิดจะฆ่าตัวตาย กระทั่งวันที่มือขาวนวลคู่หนึ่งขยับไปมาอยู่ตรงหน้า
หญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งกำลังพยายามสื่อสารด้วยภาษาที่หาคนใช้ยากยิ่งกว่าภาษาบาลี เธอเป็นคนที่บีเคยเห็นหน้าคาดตามาก่อนตั้งแต่สมัยอยู่ ม.4 และปัจจุบันก็ยังคงอยู่ห้องเดียวกัน บีรู้ทันทีว่าเธอคนนี้เพิ่งจะเริ่มเรียนภาษามือมาไม่นาน ด้วยใบหน้าที่เคร่งคิดก่อนจะขยับมือบวกกับเธอเป็นคนที่ปกติอยู่แล้วจึงไม่มีสาเหตุที่จะต้องเรียนรู้มัน ความรู้สึกดีใจล้นเอ่อจนเกินจะพูดคำว่าความสุข บีขยับมือตอบรับทั้งน้ำตาเป็นคำว่าขอบคุณ
ทั้งคู่ตกลงใจคบหากัน ชีวิตของพวกเขาไม่ได้ดูมีความสุขเลยสักนิด บนเส้นทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสาหัส ไหนจะการถูกกล่าวนินทา ดูหมิ่น การถูกสังคมตีหน้าว่าแปลกแยก แม้เป็นเช่นนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ทอดทิ้งหนุ่มไร้วาจาไปไหน เธอเชื่อมั่นว่าแม้เขาจะเป็นใบ้แต่ก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่เธอส่งให้แน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นหัวใจดวงน้อยๆ ของหญิงสาวก็มีความสุขได้ด้วยตัวของมันเอง
อยู่มาวันหนึ่งบีบอกกับตนเองว่าเขาจะไม่รอที่จะรับความสุขอยู่เพียงฝ่ายเดียว ‘ต้องทำให้เธอมีความสุขให้ได้’
เขาพยายามแสวงหาหนทางที่จะทำมันอย่างสุดชีวิต จนกระทั่งได้รู้ว่าเธอเป็นคนชอบเสียงของเครื่องดนตรีที่ชื่อว่าเปียโน เช่นนั้นแล้วจึงเกิดแรงบันดาลใจ เงินเก็บทั้งหมดในกระปุกทุกใบถูกงัดออกมาจนหมดเกลี้ยงเพื่อซื้อเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาวางตั้งโชว์ไว้กลางบ้าน แน่นอนว่าบีไม่สามารถรับรู้ด้วยซ้ำว่าเสียงของมันเป็นยังไง เขาได้แต่ยืนมองคีย์เปียโนสีขาว บ้างมีสีดำแซมเป็นแท่งเล็กๆ อยู่ด้านบน
เมื่อได้เห็นดังนั้นหญิงสาวตกใจมาก มันเป็นความรู้สึกดีใจที่แฝงมากับความขมขื่น สุดท้ายแล้วตัวเธอนั่นแหละ ที่เป็นคนสอนให้บีเล่นเปียโน ทั้งการบอกถึงความแตกต่างของเสียงที่แต่ละตัวโน๊ตแต่ละตัวแสดงออกมา คีย์สีดำที่จะทำให้เสียงนั่นยกขึ้นไปอีกครึ่งเสียง และลองสอนให้เล่นเพลงง่ายๆ บางเพลง
บีสามารถเล่นเพลงง่ายๆ ที่เธอสอนได้ด้วยการจดจำ แต่เขาไม่สามารถเข้าใจถึงคำว่าเสียงที่เหล่าตัวโน้ตถ่ายทอดออกมาได้เลย ด้วยความอดทนที่เป็นความสามารถโดดเด่นประจำตัว บีฝึกซ้อม ฝึกซ้อม และฝึกซ้อมอย่างหักโหมทุกวัน ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสามารถเข้าถึงหัวใจแห่งดนตรีได้จริง
หญิงสาวได้บอกบีเป็นภาษามือว่า “งั้นฉันจะจำลองความหมายของตัวโน้ต ตามความคิดของฉันให้ฟังนะ ตัวโดต่ำ แข็งแรงมั่นคงและหนักแน่นดังหินผา ตัวเร ค่อนข้างมีมารยาท ไม่ทำอะไรออกนอกหน้า ตัวมี...” เธอสื่อสารกับบีจนกระทั่งครบทุกตัวโน้ต และลองให้เขาเล่นเพลงตามที่ใจต้องการ ตัวโน้ตถูกร้อยเรียงออกมาตามจิตนาอันสวยหรูของบี มันเป็นเพลงที่หญิงสาวฟังแล้วกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก เธอทำได้เพียงแสยะยิ้มหัวเราะแหะๆ
หลังจากนั้นบีก็ทดลองสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาด้วยตนเอง ทุกๆ เพลงล้วนมีแต่คีย์ที่โดดไปมาไร้ระเบียบ จนคนฟังต้องเขียนลงกระดาษให้เขาดูว่า หยุดเล่นเถอะ
บีรู้สึกเสียใจที่เขาไม่สามารถทำให้หญิงสาวผู้เป็นที่รักรู้สึกปราบปลื้มใจได้ ในทางกลับกันหญิงสาวไม่ได้คิดเรื่องนี้ในหัวเลยเสียด้วยซ้ำ เธอคิดอยู่เสมอว่า ‘แค่ได้เห็นความพยายามที่บีทำก็ทำให้เธอมีความสุขมากพออยู่แล้ว’
เมื่อย่างเข้าวันเกิดครบอายุ 22 ปีของนายบี หญิงสาวขออนุณาตพ่อแม่ของบีเพื่อจัดห้องเตรียมเซอร์ไพรส์อย่างสวยหรู เมื่อจัดแจงเรียบร้อยก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกจากห้องไปเพื่อซื้อขนมเค้กดีๆ ซักปอนด์หนึ่ง
ในร้านขนมเค้กประดับประดาด้วยไฟสีสมส่องลงมาจากขอบฝาผนัง หญิงสาวเลือกซื้อเค้กปอนด์สีขาวเขียนหน้าว่า HappyBirthDay ศิลปินหนุ่ม จากนั้นเธอก็จ่ายเงินและเดินกระหย่งตัวออกมาจากร้านอย่างอารมณ์ดี
ครั้นเวลาเกือบ 2 ทุ่มดี บีเปิดประตูห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ของตนเข้าไปช้าๆ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นสภาพการตกแต่งที่สวยงามภายในห้อง บีก้าวขาเข้าไป วางสัมภาระลงบนโซฟาสีดำตัวเก่า ชื่นชมทุกลายละเอียดที่หญิงสาวได้จัดแจงไว้อย่างดี ก่อนจะนั่งลงบนเตียงนอนมองไปยังประตูห้องสีครีมเพื่อรอการกับมาของเธอ
เวลาล่วงเลยผ่านไป ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว หนึ่งชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววหญิงสาวเลยแม้แต่นิดเดียว บีเริ่มทนไม่ไหว เขาตัดสินใจยืนขึ้นจากเตียงนอนอย่างรวดเร็วและในจังหวะเดียวกันประตูห้องก็เปิดขึ้นทันที พ่อแม่ของเขารีบเข้ามาด้วยท่าทีตกใจเพื่อจะแจ้งกับบีว่าสตรีที่เขากำลังรอคอยได้หายไปจากโลกนี้ตลอดกาลเสียแล้ว
รถรุ่น Chevelle SS396 คันแดงพุ่งเข้าชนที่กลางลำตัวก่อนจะหนีหายไปไร้ล่องลอย ศพของหญิงสาวสภาพแย่กว่าที่คิด บีช๊อคจนเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องไม่ไปไหนอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ในระยะเวลานั้นเขาไม่ได้จับเปียโนเลยซักครั้งเดียว ‘ถึงดีดไปเธอก็คงไม่ได้ยิน’ คำในหัวดังบอกเขาทุกครั้งที่จะเอื้อมมือไปแตะเครื่องดนตรีคลาสสิกที่ซื้อมา
หน้าหนาวขณะที่บีเดินเตร็ดเตร่อยู่บนฟุตบาทริมถนนในตัวเมือง เด็กชายคนหนึ่งกำลังขีดเขียนดินสอลงบนสมุดหน้าขาว ตรงหน้าเขามีเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวเดียวกันยืนนิ่งมอง เมื่อเขียนเสร็จเด็กชายก็จึงยื่นมันให้เด็กหญิงได้อ่าน เด็กหญิงตอบกลับเป็นภาษาที่บีคุ้นเคย มันคือภาษามือที่สื่อถึงคำว่าขอบคุณ ทันใดนั้นเองชายหนุ่มผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ถึงกับน้ำตาไหล ‘นี่เรามัวทำอะไรอยู่...’
บีรีบวิ่งกลับบ้าน เปิดประตูออก หุนหันเดินไปยังเปียโนของเขาทันที ก่อนจะนั่งลงหลับตาและคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา ปลายนิ้วค่อยๆ สัมผัสคีย์เพื่อส่งเสียงในหัวใจให้ดังออกไป ภาพความขมขื่นและโดดเดี่ยวถูกฉายออกมาในช่วงแรกของท่วงทำนอง แต่แล้วเมื่อคิดย้อนไปเรื่อยๆ ตัวโน้ตที่แสดงออกมาก็เริ่มสื่อให้รู้ถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ ชายหนุ่มเริ่มตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตนเองในสายทางดนตรี เมื่อก่อนนี้ ทุกครั้งที่เขาเล่นเปียโนจะจิตนาการถึงความฝันความสุขที่ต้องการไขว้คว้าอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เพลงบรรเลงออกมากระโดกกระเดกไม่ไพเราะ แต่บัดนี้ได้รู้แล้ว การประพันธ์ดนตรีต้องใช้อารมณ์ที่กำลังสัมผัสอย่างลึกซึ้งเพื่อสื่อข้อความออกมา
เสียงเครื่องสายดังรอดไปนอกตัวบ้านเป็นเสียงเพลงที่ทรงคุณค่า คทาธรผู้หนึ่งบังเอิญได้ยินมันเข้าพอดี นั่นเป็นจุดที่ชีวิตของบีเปลี่ยนผันไปโดยสิ้นเชิง ตำนานศิลปินหูหนวกเปิดม่านออก เขาได้รับเชิญขึ้นเล่นเดี่ยวในงานแสดงดนตรีต่างๆ เมื่อเพลงบรรเลงจบลง ผู้ฟังต่างพากันลุกขึ้นยืนปรบมืออย่างพร้อมเพียงด้วยความประทับใจ เงินทองไหลมาเทมาอย่างไม่ขาดสาย จากเดิมที่เคยอยู่บ้านหลังเล็กๆ ก็เปลี่ยนเป็นคฤหาสน์ใหญ่โต มีคนลงทุนเรียนภาษามือเพียงเพื่อจะสื่อสารกับเขานับหมื่นคน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้เขารู้สึกดีมากจริงๆ
ช่วงเวลาแห่งความฟู่ฟ่าดำเนินไปยาวนานจนนายบีเริ่มรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง เมื่อถึงจุดอิ่มตัวแห่งความสำเร็จมนุษย์ย่อมจะเริ่มไขว้คว้าสิ่งที่มากกว่าอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน บีเริ่มเบื่อกับการเป็นคนดังและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว เขาเริ่มคิดถึงสิ่งที่ตนมุ่งหวังมาตลอด ‘แท้จริงแล้ว เราต้องการอะไรกันแน่... ชื่อเสียง... เงินทอง... การยอมรับ... ??’ เมื่อคิดได้เช่นนั้นบีจึงประกาศลาออกจากวงการ มันกลายเป็นข่าวดังระดับโลก นักข่าวแห่กันมาสัมภาษณ์ไม่ขาดสาย แต่แล้วนักข่าวคนหนึ่งก็ได้ถามคำถามที่น่าสนใจขึ้นมา “คุณได้เป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสุดยอดนักเปียโนแห่งยุค มันไม่มีความสุขหรอกหรือ?” บีหันไปยิ้มโดยเลือกที่จะไม่ตอบสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ‘เมื่อได้มองดูจากจุดที่ต้อยต่ำ การเป็นที่หนึ่งนั้นช่างหอมหวาน เหมือนดั่งสุราชั้นเลิศสักจอก เรามั่นใจแน่ว่ามันต้องให้รสชาติที่ดีเยี่ยม แต่เมื่อได้กระดกมันจนหมดแล้ว สิ่งที่เหลือไว้ก็มีเพียงจอกเปล่า’
หลังจากความกลลาหนในช่วงกลางของชีวิตจบลง บีกลับมายังคฤหาสน์หลังงามเหมือนปกติ รินเหล้าลงจอกนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนนอกตัวบ้าน มองดูฟ้ายามค่ำคืนพรางคิดถึงหญิงสาวที่ทำให้ตัวเขารู้จักกับดนตรี ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปเพื่อบรรเลงความรู้สึกในความทรงจำของเขาออกมาเป็นเสียงเพลง แม้ไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนในโลกได้รับรู้ และไม่ใช่เพื่อให้เขาได้ยินเสียงดนตรีที่ไพเราะ แต่มันคือภาษา ภาษาที่จะสื่อไปถึงอีกฟากหนึ่งของปลายขอบฟ้าไกล
บีปัดฝุ่นเปียโนตัวเก่า เปิดฝาครอบคีย์บอร์ดออก ก่อนจะนั่งลงและเริ่มบรรเลง บทเพลงที่ไม่มีวันได้ยิน
ผลงานอื่นๆ ของ Hokzee ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Hokzee
ความคิดเห็น